อยุธยา ท่องกรุงเก่า
สถานที่ 1.วัดใหญ่ชัยมงคล 2.วัดพนัญเชิง 3.วิหารพระมงคลบพิตร 4.วัดพระศรีสรรเพชญ์
5.วัดไชยวัฒนาราม
จากกรุงเทพ เพียง 1 ชั่วโมง กับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และมีเรื่องราวที่สำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยของเรา Wheelwego ของเราในวันนี้ เราอยู่กันที่จังหวัดอยุธยา กับกิจกรรมไหว้พระในตัวเมืองอยุธยาครับ แล้วจุดเริ่มต้นของเราในวันนี้ เราเริ่มต้นกันที่วัดใหญ่ชัยมงคลครับแวะไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับวันนี้ต้องถือว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญวัดหนึ่งของจังหวัดอยุธยา
วัดใหญ่ชัยมงคล เดิมชื่อ “วัดป่าแก้ว” หรือ “วัดเจ้าไท ถูกสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรืออีกพระนามหนึ่งคือ สมเด็จพระเจ้าอู่ทองพระมหากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา ทรงโปรดให้สถาปนาเป็นพระอาราม นามว่า วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นที่พำนักของคณะสงฆ์สำนักวัดป่าแก้วที่ได้บวชเรียนมา จากสำนักรัตนมหาเถระในประเทศศรีลังกา โดยคณะสงฆ์แห่งนี้ได้เป็นที่เคารพเลื่อมใสแก่ชาวกรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก ทำให้ผู้คนต่างมาบวชเรียนในสำนักสงฆ์คณะป่าแก้วแห่งนี้

ส่วนที่สำคัญของวัดได้แก่ เจดีย์ชัยมงคล ซึ่งเชื่อกันว่าคืออนุสรณ์แห่งชัยชนะ อันยิ่งใหญ่ ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงรบชนะ มังกะยอชวาพระมหาอุปราชาของหงษาวดี ที่ ต.หนองสาหร่าย จ.สุพรรณบุรี โดยภายในได้มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่
หากพูดถึงการจัดการของสภาพแวดล้อมของที่นี่นะครับเรียกได้ว่าสะดวกมาก ๆ ครับสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ เราสามารถที่จะปั่นรถชมความงดงามของที่นี่ได้โดยรอบซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างนะครับแต่ก็พอเข้าใจได้ครับ เพราะด้วยสถานที่ ที่เป็นโบราณสถานซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับ รวมถึงห้องน้ำสำหรับผู้พิการ และลานจอดรถที่นี่ก็มีให้บริการอย่างสะดวกสบายครับ
วัดพนัญเชิงวรวิหาร ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลคลองสวนพลู ริมแม่น้ำป่าสักทางทิศใต้ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง วัดอันเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนชาวไทยจีนครับ โดยตามพงศาวดารเหนือบันทึกไว้ว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง กษัตริย์ผู้ครองอโยธยาก่อนราชวงศ์อู่ทองทรงสร้างขึ้น ณ บริเวณที่พระราชทานเพลิงพระศพพระนางสร้อยดอกหมาก พระราชธิดาบุญธรรมในพระเจ้ากรุงจีน ซึ่งยกให้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง แต่เมื่อกลับจากรับตัวพระนางมาจากเมืองจีน พระเจ้าสายน้ำผึ้งรับสั่งให้พระนางรออยู่ที่เรือพระที่นั่งก่อน จะทรงจัดขบวนมารับเข้าวัง แต่พระองค์มิได้เสด็จมารับว่าที่พระอัครมเหสีด้วยองค์เอง พระนางสร้อยหมากจึงไม่ยอมขึ้นจากเรือ เป็นเช่นนี้อยู่ 2 ครั้ง พระเจ้าสายน้ำผึ้งรับสั่งสัพยอกทั้ง 2 ครั้งว่า “เมื่อไม่ขึ้นก็จงอยู่ที่นี่เถิด” ด้วยความน้อยพระทัย พระนางสร้อยหมากทรงกลั้นพระทัยถึงแก่สวรรคตทันที เป็นที่มาของชื่อวัดว่า วัดพระนางเชิง ยังคงพบเห็นตำหนักเจ้าแม่สร้อยดอกหมากริมแม่น้ำป่าสัก
เมื่อมาถึงวัดแห่งนี้ คงพลาดไม่ได้ กับการไหว้สักการะขอพร หลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระที่มีความสำคัญองค์หนึ่งของอยุธยา หลวงพ่อโต หรือพระพุทธไตรรัตนนายก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ศิลปะอู่ทองตอนปลาย ปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตักกว้าง 14.20 เมตร สูง 19.20 เมตร นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก เป็นศาลศักดิ์สิทธิ์ ศาลเจ้าแม่นั้นตั้งอยู่ริมท่าน้ำแห่วัดพนัญเชิงวรวิหาร ซึ่งชาวจีนเรียกกันว่า ศาลเจ้าแม่อาเนี้ย
สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดอย่างผมนั้นการเข้าถึงพื้นที่นั้น วัดแห่งนี้จัดไว้ให้ได้อย่างสะดวกครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของห้องน้ำสำหรับผู้พิการ ที่จอดรถคนพิการ รวมถึงทางลาดในการเข้าถึงพื้นที่ต่าง ๆ ที่นี่มีให้อย่างครบครัน และสำหรับการเข้าไปในตัววิหาร เพื่อสักการะหลวงพ่อโต ทางวัดจัดให้มีทางลาดโดยเฉพาะ ซึ่งจัดให้เข้าได้ทางประตูด้านหลังวิหารครับ รับรองว่าสะดวกแน่นอนครับ
วิหารพระมงคลบพิตร ตั้งอยู่ ทางทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ มีจุดเด่นที่สำคัญคือ เป็นวิหารเก่าแก่ที่ตั้งในเขตกำแพงเมือง ซึ่งได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี โดยภายในวิหารมงคลบพิตรเป็นที่ประดิษฐาน พระมงคลบพิตร เป็นพระพุทธรูปใหญ่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์เดียวในประเทศไทย ลงรักปิดทองมีแกนเป็นอิฐ ส่วนผิวนอกบุด้วยสำริด ทำเป็นท่อน ๆ มาเชื่อมกัน สูง 12.54 เมตร หน้าตักกว้าง 4 วาเศษ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระไชยราชา ราว พ.ศ. 2081 ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญมาไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ และในช่วงเวลาต่อมาเมื่อถึงแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือสมเด็จพระเจ้าเสือเกิดฟ้าผ่าทำให้ไฟไหม้ชำรุดเสียหาย ในครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าเสือทรงโปรด ฯ ให้สร้างวิหารประดิษฐานหลวงพ่อพระมงคลบพิตร และในปี พ.ศ. 2309-2310 กองทัพพม่าได้เผาบ้านเผาเมืองกรุงศรีอยุธยา หรือครั้งที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 จึงทำให้วิหารหลวงพ่อพระมงคลบพิตรได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
ภาพสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ และขบวนช้างของดุ๊กโยฮัน อัลเบรกต์ แห่งเยอรมัน หน้าวิหารพระมงคลบพิตร พ.ศ.2452
ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.
การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวของคนทั้งมวลนั้น ที่นี่ทำได้ดีมาก ๆ ครับ ทั้งจุดจอดรถ และห้องน้ำสำหรับคนพิการ ที่นี่มีให้อย่างครบครัน ส่วนเรื่องการเข้าถึงในตัววิหารนั้น ยิ่งไม่ต้องห่วงครับ ที่แห่งนี้ ได้จัดให้มีทางลาด ซึ่งติดตั้งไว้ด้านข้างพระวิหาร ดังนั้น การเข้าถึงสำหรับคนที่มีข้อจำกัดแบบผมนั้น บอกได้คำเดียวครับ ว่าสบายมาก ๆ ครับ สำหรับที่นี่ต้องขอชื่นชมครับ
วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหน้า ของวิหารพระมงคลบพิตร วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญสูงสุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีฐานะเป็นวัดประจำพระราชวัง และวัดส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ สร้างอยู่ในเขตพระราชฐานโดยไม่มีพระสงฆ์จำวัด ซึ่งถือเป็นต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วในปัจจุบัน ในอดีตวัดแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญมากมาย รวมถึงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และเป็นที่เก็บพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์บางพระองค์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2035 โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ วัดพระศรีสรรเพชญ์ โดยมีจุดที่น่าสนใจที่สำคัญ คือ เจดีย์ทรงลังกาสามองค์ ที่ตั้งเรียงรายเป็นแนวอย่างอย่างงดงาม ซึ่งน่าจะช่วยสะท้อนภาพของความรุ่งเรือง ความยิ่งใหญ่และความสวยงามของเมืองอยุธยาในยุคก่อนได้เป็นอย่างดี
วัดแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญของไทยที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสู่ยุคปัจจุบันสำหรับการเข้าถึงของผมกับสถานที่แห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ สามารถปั่นรถ ชมความงดงามของอดีตที่รุ่งเรืองได้อย่างไม่ยากอะไร หากแต่ด้วยสภาพพื้นที่โดยรอบเป็นทางราบแต่พื้นทางเดินเป็นอิฐเก่าที่เรียงตัวกันอย่างไม่สม่ำเสมอ อาจจะแค่ไม่สะดวก แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่ยากเกินไปเมื่อแลกกับความงดงามที่อยู่ตรงหน้าครับ
วัดไชยวัฒนาราม สร้างขึ้นในโดย พระเจ้าปราสาททอง เมื่อปี พ.ศ.2173 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นวัดหลวงที่ใช้ในการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยต่าง ๆ และยังเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์อีกด้วย โดยวัดแห่งนี้สร้างในรูปแบบทางสถาปัตยกรรม ที่เหมือนส่วนหนึ่งของนครวัด โดยพระเจ้าปราสาททอง ได้สร้างวัดไชยวัฒนารามขึ้น เพื่ออุทิศผลบุญนี้ให้กับพระราชมารดาของพระองค์ และอีกประการหนึ่งก็คือ วัดนี้อาจถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือเขมรครับ และในส่วนที่น่าสนใจในวัดไชยวัฒนาราม ก็คือ ระเบียงคด เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างเมรุแต่ละเมรุเอาไว้ โดยรอบฐานประทักษิณซึ่งแต่เดิมจะมีหลังคารอบ ๆ ที่บริเวณระเบียงคดนี้จะมีพระพุทธรูป ปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ รวมทั้งหมด 120 องค์ ปัจจุบันเหลือที่ยังมีพระเศียรอยู่ 2 องค์
ปรางค์ประธานของวัดนี้อยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส และที่มุมฐานมีปรางค์ประจําทิศอยู่ทั้งสี่มุม โดยในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดให้สร้างปรางค์ขนาดใหญ่เป็นประธานของวัด เป็นการรื้อฟื้นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น
ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามอย่างโดดเด่น รวมถึงที่ตั้งที่อยู่ริมแม่น้ำ ยิ่งช่วยขับให้ความงดงามของสถานที่แห่งนี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในยามค่ำมีการเปิดไฟซึ่งประดับไว้ ยิ่งช่วยให้ความงดงามของวัดไชยวัฒนารามแห่งนี้ เพิ่มมากยิ่งขึ้นครับ