
How To การขึ้นเครื่องบินสำหรับคนพิการ





1.เช็กอินผ่านเคาน์เตอร์ของสายการบิน
สำหรับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก หลังจากทำการจองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว เราจะได้รับ Itinerary หรือ E-Ticket ซึ่งส่งมาทาง E-mail ให้เราทำการพิมพ์หรือบันทึกเป็นไฟล์ดังกล่าวเป็น PDF หรือรูปภาพไว้ในโทรศัพท์มือถือ ไว้เป็นหลักฐานครับ
แต่ไม่ต้องกังวลใจอะไรมากมาย แค่เรา ไปที่เคาร์เตอร์ แสดงแค่บัตรประจำตัวประชาชนและเที่ยวบินที่เราเดินทางเพียงแค่นี้ก็เรียบร้อยครับ
และแน่นอนครับว่าสำหรับผู้พิการ เจ้าหน้าที่จะจัดที่นั้งให้เราอยู่ในบริเวณที่สะดวกที่สุด บริเวณที่นั้งในแถวด้านหน้า หากไม่มีผู้โดยสารจองที่นั้งนั้นๆ ล่วงหน้า ครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเราจะได้ที่นั้งไกลจากด้านหน้าเครื่องดังนั้นจึงขอแนะนำครับ ว่าให้เราไปเช๊คอินที่เคาร์เตอร์ล่วงหน้าเผื่อเวลาเยอะไว้ก่อนเจ้าหน้าที่จะได้จัดที่นั้งให้ได้แถวหน้าซึ่งในจุดเช๊คอินนี้หากเป็นผู้พิการที่มีปัญหาในการเคลื่อนไหว สามารถแจ้งขอใช้บริการระวีลแชร์ ได้ครับ และเมื่อขั้นนตอนนี้เสร็จเรียบร้อยเราจะได้ Boarding Pass หรือตั๋วโดยสารครับ
2. สแกนกระเป๋าเข้าสู่ภายภายในพื้นที่เฉพาะผู้โดยสาร
หลังจากเช๊คอินเรียบร้อย เราจะได้ Boarding Pass หรือตั๊วโดยสารครับ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนที่บอกรายละเอียด ของหมายเลขประตูขึ้นเครื่อง หมายเลยที่นั้ง และรายละเอียดอื่นๆ ในการเดินทาง ถึงตอนนี้เราจะต้องเดินทางต่อเข้าสู่บริเวณพื้นที่ชั้นในของสนามบิน ซึ่งจะอนุญาติเฉพาะ ผู้โดยสารเท่านั้น โดยเราจะต้องแสดง ตั๋วโดยสารและบัตรประจะตัวประชาชน
สำหรับใครที่ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก สิ่งที่ต้องระวังในขั้นตอนสแกนสัมภาระคือ ห้ามนำของเหลวถือขึ้นเครื่องเกินชิ้นละ 100 ml รวมกันไม่เกิน 1000 ml.
และห้ามนำของมีคม วัตถุไวไฟ อาวุธ
ถือขึ้นเครื่อง เช่น กรรไกร มีด ฯลฯ ขึ้นโดยเด็ดขาดรวมไปถึงห้ามนำ Power Bank ใส่กระเป๋าเดินทางโหลดใต้ท้องเครื่อง แต่สามารถใส่กระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
Power Bank ความจุไฟฟ้า 20,000 mAh (หรือน้อยกว่า 10,000 Wh) นำขึ้นเครื่องได้ไม่ระบุจำนวน
Power Bank ความจุไฟฟ้า 20,000 – 32,000 mAh (หรือมากกว่า 160 Wh) นำขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 2 ก้อน
Power Bank ความจุไฟฟ้ามากกว่า 32,000 mAh (หรือมากกว่า 160 Wh)
ไม่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่องทุกกรณี
นอกจากนี้ยังจำกัดน้ำหนักกระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่องบินตามกฎของแต่ละสายการบิน
ดังนั้น เราจึงควรตรวจเช็กสิ่งของในกระเป๋าเดินทางให้ดีก่อนการเดินทางซึ่งในส่วนนี้สำหรับผู้พิการจะมีเจ้าหน้าที่ ดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งจะมีการตรวจค้นโดยละเอียดครับทั้งการสแกนกระเป้า และอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำติดตัวในการเดินทาง รวมถึงการค้นตัวครับ ซึ่งสำหรับผู้ที่ใช้รถเข็น จะมีเจ้าหน้าที่เฉพาะ ในการค้นตัว โดยเราไม่ต้องย้ายตัวเองจากรถ ซึ่งในขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากครับ ถือว่าผ่านมาได้อย่างสบาย
3.เดินทางสู่ช่องทางที่จะขึ้นเครื่องบิน
หลังจากผ่านการสแกนเรียบร้อย
ถึงตอนนี้เราจะต้องเดินทางต่อครับเพื่อไปยัง ทางประตูขึ้นเครื่องบิน ซึ่งในตั๋วจะระบุไว้ครับว่าเราต้องขึ้นเครื่องที่ประตูหมายเลขที่เท่าไร ซึ่งในวันนี้ผมต้องขึ้นเครื่องที่ประตูหมายเลข 55 ซึ่งเป็นทางขึ้นที่อยู่ไกลสุด ซึ่งในส่วนนี้เราต้องออกกำลังกันนิดหน่อยครับ เพราะระยะทางนั้นค่อนข้างไกล และด้วยสภาพพื้นในอาคารเป็นพรม ซึ่งแน่นอนว่าการเข็นรถบนพื้นที่แบบนี้มันจะต้องใช้แรงมากกว่าปกติ ในส่วนนี้เราควรเดินทางไปรอที่ Gate ก่อนเวลาเครื่องออกสัก 30-40 นาที ครับ



4.การขึ้นเครื่องบิน
เมือถึงบริเวณหน้าทประตูขึ้นเครื่อง ตามหมายเลขที่ระบุ ในส่วนนี้จะ จะมีเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกขึ้นเครื่องให้เราเตรียมบัตรประชาชนหรือ Passport และ Boarding Pass เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบก่อนขึ้นเครื่องบิน ซึ่งสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่จะเรียกก่อนผู้โดยสารทั่วไป เพื่อให้ได้ขึ้นเครื่องก่อนในลำดับแรก ซึ่งในส่วนนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ที่คอยช่วยเหลือ ในการนำเข้าสู่ภายในตัวเครื่องบิน ซึ่งแน่นอนครับ ว่าวีลแชร์นั้นจะไม่สามารถเข้าไปถึงบริเวณั้นั้งได้ เพราะด้วยขนาดทางเดินในเครื่องจะมีขนาดที่ไม่กว้างมาก ซึ่งโดยปกติ แต่ละสายการบินจะมึหลักปฏิบัติ ที่คล้ายๆ กันครับ นั้นคือ
1. การใช้รถวีลแชร์เคบิล ซึ่งจะเป็นรถเข็นขนาดเล็กกว่าปกติสามาถเข็นภายในตัวเครื่องบินได้ โดยให้ผู้โดยสารย้ายตัวเองจากรถเข็นส่วนตัวไปยังวีลแชร์ เคบิล โดยจะมีเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือครับ และเข็นไปยังหมายเลขที่นั้งตามที่ระบุในบัตรโดยสารเครื่องบิน
2. ในกรณี ที่ไม่มีวีลแชร์เคบิล (ซึ่งอาจจะเป็นไปได้) จะมีเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือด้วยการอุ้ม ไปยังที่นั้ง ซึ่งไม่ต้องกังวลครับเพราะเจ้าหน้าที่จะจัดที่นั้งให้เราในส่วนที่นั้งที่ไกล้ที่สุดครับ.

5.ลงจากเครื่องบิน
เมื่อถึงสนามบินปลายทาง แล้วในเรื่องของการลงจากเครื่องบิน ในเรื่องนี้อาจจะต้องลุ้น กันนิดหน่อยครับ เพราะด้วยความพร้อมของแต่ล่ะสนามบินนั้น มีข้อจำกัดในอุปกรณ์และบุคลกร ที่แตกต่างกัน ดังนั้นแล้ววิธีการลงจากเครื่องสำหรับผู้พิการนั้นโดยประสบการ์ณของผมเองแล้วจะมีหลักปฎิบัติ ที่เคยได้รับ ดังนี้ครับ
1. ข้อต่อทางเชื่อมเข้าสู่ตัวอาคาร วิธีนี้ดูจะเป็นวิธีที่สะดวกสบายที่สุดครับ สำหรับผู้พิการในการลงจากเครื่องและสามารถเข็นรถวีลแชร์ผ่านทางเชื่อมเพื่อเข้าสู่สนามบินได้อย่างสะดวก โดยเจ้าหน้าที่จะนำวีลแชร์ของเรา มารอรับที่หน้าประตูเครื่องบิน
2. รถลิฟท์ เป็นอีกหนึ่งบริการที่สะดวกมากสำหรับผู้พิการในกรณีที่ตัวเครื่องบินนั้นจอดบริเวณลานสนามบินไม่ได้ติดกับตัวอาคาร รถลิฟท์จะทำหน้าที่ในการช่วยยกทั้งเราและรถเข็นลงจากตัวเครื่องบิน จากหน้าประตู นำส่งลงยังตัวอาคารสนามบิน ถือว่าเป็นบริการที่สะดวกมากๆ ครับ แต่การบริการแบบนี้จะมีเฉพาะบางสายการบิน และมีเฉพาะสนามบินขนาดใหญ่เท่านั้น ครับ
3. ทางลาดเชื่อมลงเครื่องบิน ถือเป็นอุปกรณ์ที่ดีครับ ที่เห็นมีตั้งอยู่ในทุกสนามบิน เพราะคนพิการเองสามรถเข็นรถลงจากตัวเครื่องบินได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องยกลงทางบันใดในกรณี ที่เครื่องบินไม่ได้จอดเที่ยบทางเชี่อมอาคาร แต่จากประสบการ์ณที่ตัวเองก็บินอยู่บ่อย แต่เคยได้ใช้แค่ ครั้งเดียว ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีเหตุอะไร ถึงไม่ค่อยได้ใช้ หรืออาจจะเป็นอุปกรณ์ ตบแต่งสนามบิน อันนี้คือคำถามที่เกิดขึ้นจริงในใจในทุกๆ ครั้งที่มองเห็นโดยไม่ใช้งาน แต่โดยประสบการ์ณส่วนตัวในการใช้งาน 1 ครั้งในชีวิต มันก็สะดวกดีครับ แต่ว่าในเรื่องของความแข็งแรง นั้น แอบมีความหวั่นในใจเพราะด้วยโครงสร้างที่ โดยส่วนตัว ย้ำ ว่าส่วนตัว มันดูบอบบาง และจากการสังเกตระหว่างผู้โดยสารทั่วไปที่เดินลงพร้อมกันในปริมาณ ที่มากพร้อมกัน มันโยกไปโยกมา อยู่ตลอดเวลา แต่เอาเถอะครับ เอาเลือกมาแล้วเขาว่าดี มันก็คงจะดี จริงๆ นั้นแหละ เขามีให้ใช้ก็ดีแล้วใช้ไหมครับ
4. ยกลง บริการนี้เป็นบริการที่ได้รับการบริการ น่าจะบ่อยที่สุด ครับ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ 4 คนช่วยกันยกคนละมุม รถเข็น และยกลงทางบันไดเทียบเครื่องบิน ซึ่งเอาจริงๆ สำหรับผมไม่ติด อะไรน่ะครับ ยังไงก็ยังดีที่มีเจ้าหน้าที่พร้อมใจในการดูแล ซึ่งแน่นอนว่าคนไม่เคยมันก็จะมีเสียวๆ กันบ้างครับในวิธินี้
ซึ่งต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ในการดูแลอย่างสูงครับ





